แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ SEO TIPS แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ SEO TIPS แสดงบทความทั้งหมด

วันพุธที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

SEO กับ Internet Marketing

     อธิบายสั้น ๆ ของคำว่า SEO กับ Internet Marketing หรือ Online Marketing เอาง่าย ๆ สั้น ๆ


  • SEO คือ การเข้าถึงเนื้อหา ด้วยการค้นหา จากพวกเว็บ Search Engine เช่น Google,Yahoo,Bing เป็นต้น SEO ต้องบอกเลยว่าเป็นส่วนสำคัญ และเป็นเรื่องละเอียดอ่อนในการทำเว็บไซต์ เพราะคนส่วนใหญ่อยากรู้อะไรก็ต้อง Search ถ้า Search ไม่เจอก็ไม่มีคนเข้า ทำเว็บไซต์ไปไม่มีคนเข้าก็ไม่มีประโยชน์ แต่ถ้าไม่ Search ก็ต้องขยันทำ Internet Marketing ที่จะได้อธิบายในหัวข้อด้านล่าง SEO นั้นอาจจะช่วยให้คนเข้าถึงเว็บไซต์เราได้ในระยะยาว ถ้าเว็บไซต์เรามีคุณภาพ ผ่านไปเป็นปี ก็ยัง Search เจออยู่ คนก็ยังเข้ามาในเว็บเราอีก ซึ่งการทำ SEO นั้นก็ต้องเข้าหลักการ เข้าใจโครงสร้าง และเทคนิคต่าง ๆ ซึ่งต้องใช้ความพยายาม ความอดทน และความละเอียดอ่อน ทุกองค์ประกอบ
  • Internet Marketing มันก็คือช่องทางในการทำการตลาดช่องทางหนึ่ง  โดยการโฆษณา ประชาสัมพันธ์ หรือการโปรโมท ข้อมูลข่าวสารบนอินเตอร์เน็ต โดยไม่จำเป็นต้องทำเว็บไซต์เป็นของตัวเอง แต่มีสนค้าหรือบริการ ที่ต้องการให้คนรู้จัก โดยผ่านสื่ออนไลน์นั่นเอง ซึ่งเป็นการเข้าถึงโดยตรงจากแหล่งสื่อต่าง ๆ หรือเว็บไซต์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นข้อความโฆษณา แบนเนอร์ วิดีโอคลิป Social Media เช่น Facebook , Twiter , SocialCam เป็นต้น ถ้าเป็นการโปรโมทเว็บ พอคนคลิกเข้ามา ถ้าเว็บเรามีความน่าสนใจ เนื้อหาตรงความต้องการ เขาก็อาจจะจำชื่อเว็บเราแล้วกลับมาอีก แต่ถ้าไม่เขาก็จะปิดเว็บทิ้ง จนกว่าจะไป Search เว็บเราแล้วเจอเนื้อหาที่เขาต้องการซึ่งต้องไปอาศัย SEO ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องง่าย

ความเข้าใจส่วนหลัก ๆ ในการทำ SEO
  • การเขียนหัวข้อให้อ่านแล้วเข้าใจ น่าสนใจ ใส่คำสำคัญเข้าไปด้วย แต่ไม่ควรยาวเกิน 70 ตัวอักษร
  • เรื่องโดเมนก็สำคัญ โดเมนสั้น จำง่าย สะดุดตา มันก็น่าคลิก
  • URL ถ้ามันยาวก็เอาออก ทำ Mod Rewrite ให้สั้นลง
  • วิเคราะห์ชื่อเว็บ วิเคราะห์ Keyword ถึงการแข่งขัน ถ้าแข่งขันสูงเราก็สู้ยาก แต่ถ้าต่ำไปมันก็ไม่มีคนใช้ อันนี้ต้องพินิจให้ดี
  • MATA TAG Title , Keyword , Desciption ต้องเรียบเรียงให้ดี มีคำสำคัญในทุก ๆ Tag แต่อัลกอริทึมของ Google ปัจจุบันจะให้ความสำคัญส่วนนี้น้อยลง แต่ยังไงก็ต้องเขียนให้ดี
  • Content เนื้อหา อย่าคิดว่าไม่ใช่ส่วนสำคัญ การเขียนเนื้อหาก็ต้องมี Keyword คำสำคัญในเนื้อหาด้วย แต่ไม่ควรมาก จนกลายเป็น Keyword Stuffing ไม่ควรเกิน 3-5% ของเนื้อหา
  • การทำ Black Link ฝากลิงค์สำคัญ จะได้ช่วยรักษาค่า Pagerank
  • ต้องเข้าใจว่า SEO ต้องใช้เวลา ไม่ใช่ทำเว็บวันนี้ พรุ่งนี้ขึ้นหน้า 1 ตามหลักการอย่างน้อยเว็บไซต์ก็ต้องออนไลน์ได้สัก 2-3 เดือน เว็บเราถึงจะไปอยู่ในคลังสมองของ google แต่ไม่สามารถการันตีได้ 100% ว่าเว็บเราจะไปอยู่บนหน้า google หรือ Search Engine อื่น ๆ ได้
  • อย่าพยายามใช้วิชามาร ในการทำให้เว็บไซต์ขึ้นหน้า 1 บางทีอาจจะขึ้นเร็ว ก็ตกเร็วได้เหมือนกัน บางทีตกไปแล้วเหมือนตกเหว กลับขึ้นมาอีกก็ยาก หรือไม่มีสิทธิ์โผ่หัวขึ้นมาได้อีก
  • วิเคราะห์ keyword density ในเนื้อหาให้อยู่ในสัดส่วนที่เหมาะสม ถ้าให้ดีควรอยู่ที่ 3-5%
  • ลึกลงไปอีกคงต้องเรียนรู้และเข้าใจหลักการอัลกอรึทึมในการเก็บข้อมูลของ Google 
  • ถ้ามีงบประมาณ ก็ไปเช่า SEO Hosting 

วันอังคารที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

10 จุดสุดยอดในการใช้ KEYWORD ในการทำ SEO

Keyword ในการ ทำ seo

การใช้ Keyword ในการ ทำ seo  Search engine Optimization หลายคนที่เป็นมือใหม่ อาจจะไม่มั่นใจหรือใช้ได้อย่างไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร หลังจากที่ได้อ่านบทความนี้ ผมเชื่อว่าน่าจะเป็นแนวทางให้สำหรับ ผู้ที่ยังไม่มั่นใจหรือยังไม่รู้ว่าจะใช้ยังไง ได้ไม่มากก็น้อยนะครับ อย่ามัวเสียเวลาครับเริ่มต้นกันเลยดีกว่า
1. ใช้ keyword ที่บริเวณ ชื่อหน้าเพจ (Title) ให้เราใส่ Keyword ที่เราต้องการจะใส่โดยให้น้ำหนักจากการเรียงจาก ซ้ายไปขวา ตัวอย่างการใช้งาน [title] keyword หลัก, keyword รอง, keyword อื่นๆ [/title] เป็นต้น

2. ใช้ keyword ที่บริเวณ ชื่อหัวข้อของเนื้อหา (Heading Tag) โดยการใช้ h1,h2,h3 เป็นต้น ตัวอย่างการใช้งาน [h1] Keyword [/h1] หรือ [h2] Keyword [/h2] เป็นต้น
3. ใช้ keyword ที่บริเวณ เนื้อหาในส่วนแรก (First Content) ให้ใส่ Keyword ไว้ในตำแหน่ง 20 คำแรกโดยประมาณ ให้ชัดเจน หรืออาจจะใช้ตัวอักษรลักษณะเอียงก็ได้ ตัวอย่างการใช้งาน [body][p] Keyword [/p][/body]
4. ใช้ keyword ที่บริเวณ ลิงค์เชื่อมโยงมาตรฐาน (Standard Text Link) คือการเชื่อมโยงในลักษณะ การใช้ Text link เป็นตัวเชื่อมโยง แล้วแทรก Keyword ผสมเข้าไปด้วย ตัวอย่างการใช้งาน [a href="http://www.yoursite.com "] Keyword [/a]
5. ใช้ keyword ที่บริเวณ เนื้อหาในส่วนสุดท้ายของหน้า (The Last Content) เพื่อเน้นย้ำ หรือใช้ในการสรุปเนื้อหา อาจจะใช้เป็นลักษณะตัวเอียงหรือหนาก็ได้ครับ ตัวอย่างการใช้งาน [p] Keyword [/p] [/body]
6. ใช้ keyword ที่บริเวณ เมนูเลื่อนลง (Drop Down Menu) Drop Down Menu นี้เป็นที่ซ่อน Keyword ที่ดีอีกที่ที่ไม่ควรมองข้ามนะครับ ตัวอย่างการใช้งาน [form] [option] Keyword [/option] [/form]
7. ใช้ keyword ตั้งชื่อไฟล์และโฟลเดอร์ (Folder Name, File Name) วิธีนี้ได้ผลเป็นที่น่าพอใจพอสมควรครับ กับการทดลองใช้ในหลายๆเว็บที่ผมลอง หากต้องใช้ Keyword มากกว่า 1 พยางค์ ควรใช้เครื่องหมาย “-” เป็นตัวคั่นกลาง ตัวอย่างการใช้งาน /Keyword/Keword.html,Keyword.jpg หรือ Keyword1-Keyword2.html
8. ใช้ keyword ที่บริเวณ คำอธิบายรูปภาพ (Images Alt Tag) การ ใช้ Tag Alt เข้าช่วยนั้นเพราะว่า Serach Engine นั้นไม่รู้จักรูปภาพเราสามารถบอก Search Engine รู้ว่าภาพนั้นเป็นภาพของอะไรได้โดยใช้ Tag Alt นี้เข้าช่วย ตัวอย่างการใช้งาน [img src="images address" alt="Keyword"]
9. ใช้ keyword ที่บริเวณคำอธิบาย ลิงค์ (Text Link Title) การใช้ Text Link Title นั้นคล้ายการใช้ Tag Alt เพียงแต่ Tag นี้ใช้อธิบาย Link ตัวอย่างการใช้งาน [a href="http://www.yoursite.com " title="Keyword"]Keyword [/a]
10. ใช้ Keyword จด Domain name ด้วย Keyword (Domain Name Register) การใช้ Keyword หลักของเว็บในการจด Domain Name นั้นหากทำได้ดีถือว่ามีชัยไปกว่าครึ่งแล้วครับ
เขียนโดย SEO Gang
อ้างอิง : http://seoinwgang.blogspot.com

สร้าง web ด้วยการเข้าใจ SEO

ทำ seo

เพื่อให้แน่ใจว่า website ของคุณถูกสร้างขึ้นมาเพื่อรองรับการทำงานของsearch engines และเพื่อให้แน่ใจว่าองค์ประกอบเหล่านี้เข้ากันได้ดีกับการออกแบบwebsiteของคุณ

โครงสร้างURL


ไม่ต้องใส่ใจกับการใช้ page ID กับ URL ของคุณ แต่จงเปลี่ยน URL เป็นโครงสร้างคำไม่ได้เพียงแต่ช่วยคุณในเรื่อง ทำ SEO แต่ช่วยให้ผู้ใช้งาน
ของคุณรู้ว่า page นี้พูดถึงอะไร เช่น  http://www. yousite com/product.php?page_id=41 จะดีกว่มั้ยหากคุณเปลี่ยนมันให้เป็น
http://www.yousite.com/product/shoes/ ถ้าคุณกำลังใช้  Wordpress กับ web ของคุณ คุณก็สามารถจัดการมันด้วยวิธีง่ายๆแค่ไปที่ Settings > Permalinks > และenter /%postname%/ เหมือนเป็นการปรับปรุงโครงสร้างให้ดีขึ้น และจะยิ่งดีใหญ่ถ้าคุณจะแก้ URL ให้เป็นภาษาไทยด้วยเพราะคุณอยู่ประเทศไทย เนื่องจากคนไทยเองนั้นก็ใช้คำภาษาไทยในการค้นหาอยู่แล้ว เช่นคุณอาจแก้ 
จาก http://www. yousite com/product.php?page_id=41 เป็น http://www.yousite.com/product/shoes/ แต่ผมอยากจะให้คุณ
แก้มันอีกครั้งเป็น http://www.yousite.com/product/รองเท้า/ มันก็จะช่วยคุณได้ในอีกระดับนึง และอีกเรื่องนึงการคือ อย่าลืมเปลี่ยน เปลี่ยน Non-www ไปเป็น WWW ให้เรียบร้อยด้วยนะครับ

ใช้Flashในปริมาณที่เหมาะสม


จำนวน  Flash หลายอันใน web ของคุณมันก็ไม่ได้แย่นักแต่มันจะมากเกินไป search engines มีข้อจำกัดในการอ่าน เพราะฉะนั้นอย่าพยายามใส่
ข้อความสำคัญๆ หรือ Keyword ไปในนั้น และห้ามสร้าง website ทั้งหมดโดยใช้ Flash เด็ดขาดเพราะมันจะเป็นเกราะป้องกันบทความ ข้อความ
ในwebของคุณจาก search engines แถมยังทำให้หลุดจาก keywords แล้วมันก็จะกลายเป็นภาษาต่างดาวไป

ยิ่งไปกว่านั้น  google มี   instant preview feature นั่นคือการปรีวิวเพจก่อนที่จะคลิกเข้าดู
google preview

ภาพตัวอย่าง : instant preview feature
แต่หากคุณใช้ Flash ในส่วนไหนส่วนนั้นก็จะกลายเป็นช่องว่างไป หลายคนอาจเข้าใจผิดชอบทำเว็บ Flash ทั้งเว็บเพราะเห็นว่ามันสวยดี แต่มัน
กลับมีข้อเสียอย่างรุนแรงกับทาง SEO

แสดงภาพตัวอย่าง instant preview feature จาก Goole การใช้ Flash ที่ถูก และ ผิด



instant preview feature ที่ใช้ Flash ในเว็บอย่างถูกต้อง
ภาพตัวอย่าง : instant preview feature ที่ใช้ Flash ในเว็บอย่างถูกต้อง
นี่คือภาพตัวอย่างสำหรับการใช้ Flash ทำเว็บอย่างถูกต้องคือการใช้ในปริมาณที่เหมาะสม Preview แล้วยังมองเห็นรูปร่างเว็บอยู่ ส่วน Flash ก็จะเป็นช่องว่างไป ซึ่งนั้นก็ไม่มีผลอะไรมากนัก เพราะยังเห็นข้อมูลส่วนใหญ่ของเว็บอยู่

instant preview feature ที่ใช้ Flash ในเว็บที่ผิด
ภาพตัวอย่าง : instant preview feature ที่ใช้ Flash ในเว็บที่ผิด

นี่คือภาพตัวอย่างสำหรับการใช้ Flash ทำเว็บที่ผิดจะเห็นได้ชัดเลยว่า instant preview feature ไม่สามารถที่จะ Preview อะไรได้เลย

Heading Tags


Heading Tags จากแถว  H1 ถึง H6 และจะเป็นการดีที่แยก  topic  ออกจากกันและให้  titleในแต่ละหน้า เมื่อออกแบบบทความในแต่ละหน้า ให้จำไว้ด้วยว่า มีเพียง H1 tag เดียวเท่านั้น ถ้ามันดูโอเคเป็นธรรมชาติ ก็ให้ใช้  keywords ใน H1 ไปจนถึงจุดสูงสุดที่จะพัฒนาได้

1 topic ต่อ 1 หน้า


ถ้าคุณมีบริการที่หลากหลายก็ไม่ต้องใส่มันลงไป ทั้งหมดใน1หน้า ใช้ homepage เป็นจุดหลักและก็สร้างเมนูสำหรับแต่ละประเภท 1หน้า/1ผลิตภัณฑ์/1บริการ มันจะดูดีกว่า และก็เป็นการง่ายที่ลูกค้าจะหาสิ่งที่พวกเขาต้องการและคุณก็จะรู้สึกขอบคุณตัวเองมากที่ครั้งนึง
คุณจัดระเบียบ web pageของคุณด้วย keywords

อย่าใช้ IFrames


IFramesก็เป็นเพียงแค่ทางเข้าพื้นฐานจากหน้าอื่นๆภายใน web ของคุณ ซึ่ง search engines ก็ไม่สามารถอ่านข้อมูลที่อยู่ในหน้านั้นได้มันก็เพราะ
เหตุผลมันจึงไม่มีประโยชน์อะไร และสำหรับองค์ประกอบส่วนใหญ่ของ website Iframes ไม่นิยมใช้เท่าไหร่แต่กับ web ใหญ่ๆบางเวปเช่น  Amazon.com  และ เวปสำหรับพยากรณ์อากาศ จะใช้  IFrames เพื่อให้ผู้ชมสามารถแสดงเนื้อหาลงใน website ส่นตัวได้อย่างง่ายๆ

การสร้างแรงดึงดูด


อัตราการเข้าชม website ของคุณมันก็ไม่สำคัญเท่าไหร่ ถ้ามันยังไม่ได้เปลี่ยนมันก็ไม่มีประโยขน์อะไร หลายต่อหลายคนไม่เข้าใจและไม่เห็น
ค่าของ  conversion optimization  แต่มันเป็นการพัฒนาการสะท้อนกลับและอัตรการแปรผัน  วิธีง่ายๆในการปรับปรุงจำนวนการโทรสั่งสินค้า
,e-mail, ตำแหน่งนำ ผู้ใช้บริการ หรือไม่ว่าคุณจะใช้เป็นการระบุการเปลี่ยนแปลงมันก็เป็นการชัดเจนว่าการสร้างแรงดึงดูดของคุณมีผลต่อลูกค้า ถ้าพวกเขากรอกข้อมูลสมัครสมาชิกหรือโทรหาคุณ ก็แน่ใจได้เลยว่าข้อมูลที่อยู่หน้าพวกเขานั้นไม่พลาดเป้า

ข้อความในภาพ


Webmaster หลายๆคนมักจะวางข้อความไว้ในภาพก็ไม่แน่ใจว่าพวกเขาต้องการโชว์ font เก๋ๆหรือพวกเขาแค่ไม่เข้าใจHTML ดีเท่าไหร่ ว่า search engines มันอ่านอะไรก็แล้วแต่ที่อยู่ในรูปภาพไมได้ อืม.....เอาเป็นว่าแค่ไม่ต้องไปทำมันแล้วประหยัดเวลาด้วยการทำอะไรที่ถูกต้อง
ไปเลยดีกว่า

JavaScript ภายใน Navigation


เมื่อคุณใช้ JavaScript โชว์ใน navigationของคุณ  หน้าเวปที่เลื่อนลงกับตัวลิงค์ก็ต้องไปในทิศทางเดียวกัน  มันสามารถสร้างให้เป็นกำแพง
สำหรับsearch engines เพราะเวลาอ่านมันจะยาก.Javascriptจะ ไม่ตัด และฝืดเท่ากันกับ HTML และเพราะว่ามีเป็นล้านๆวิธีที่จะสร้างผลงาน
ที่เหมือนกันออกจาก JavaScript มันเป็นการสร้างความสับสนให้ search engines จริงๆ

โครงสร้าง Navigational


การรักษาโครงสร้าง navigational ของคุณให้เรียบง่าย มันเป็นความสามารถของบางคนเท่านั้น ประเภทของการใช้งาน ใช้หน้าหลัก และไม่ต้อง
ยกเว้นหน้าสำคัญจาก  navigation แต่ถ้าคุณอยากให้ลูกค้าซื้อของหรือเห็นบริการ ก็ใส่มันลงไปในเมนูด้วย

ถึงผมจะสนุกกับ web นี้แต่ก็อยากให้ลองดู เพราะมันเป็นตัวอย่างของโครงสร้าง navigational ที่สับสนลองดู เว็บนี้

โครงสร้าง Navigational


สิ่งแรกที่เวลาคนเข้ามาดู web ของคุณพวกเขาน่าจะเห็นhomepageของคุณ เชยและไม่มีความน่าสนใจ เมื่อใช้splash pageที่ถูกใช้แล้ว มันเป็นการแสดงข้อมูลที่ไม่มีความจำเป็น ระหว่างคุณกับลูกค้า ซึ่งจะมีผลกระทบต่อfeedbackและจำนวนคลิก

ทำตัวเป็นBlogger


Search engines ชอบที่จะค้นหาเนื้อหาใหม่ๆและการใช้ blog เป็นวิธีที่ดีที่จะเก็บรักษา web ของคุณให้อัพเดตตลอด  การมีเนื้อหาใหม่อย่างต่อ
เนื่องเป็นการช่วยให้ข้อมูลกลับมาที่ bot  และยังช่วยให้คุณจัดอันดับสำหรับkeywordsยาวๆได้ SEO blog ของเราเป็นตัวอย่างที่ดี
ของบล๊อกที่ใช้เนื้อหาใหม่เกี่ยวกับอุตสาหกรรม ไอที

ใส่ใจในความเร็วของweb


ถ้า web ของคุณใช้เวลาโหลดนานมากมันคงทำให้ผู้ชมหมดความอดทน search engines ก็ไม่ค่อยชอบที่จะรอนัก ดังนั้นความเร็วของ web ก็เป็นสิ่งที่ควรจะใส่ใจ มี HTTP requests เยอะๆ จำนวนรวมของ Javascript, CSS files และ รูปภาพขนาดใหญ่ ก็มีส่วนทำให้ความเร็วของ
web ช้าลง

หวังว่าบทความนี้จะช่วยคุณได้บ้างนะครับไม่มากก็น้อยนะครับ แล้วเดี๋ยวพบกันใหม่บทความต่อไปนะครับ

ขอบคุณบทความดีๆจาก ; http://seo.clisk.co.th
อ้างอิง : http://www.seo.com/blog/building-website-seo-mind

วันจันทร์ที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

Google ไม่ได้ใช้แท็ก meta keywords ในการจัดอันดับค้นหา

meta keywords ทำ seo

หลายท่านคงเคยสงสัยกันบ้างนะครับว่า แอ๊ะ keyword เราทำไมไม่ตรงกับที่ google เค้าค้นหานะ บางคนมาเจอบทความนี้อาจจะตกใจครับว่า Google เลิกใช้ Meta Keyword ในการค้นหาแล้วครับ และเลิกใช้มานานมากแล้วด้วยล่ะครับ อ้าวแล้ว Search Engine อันดับ 1 ของโลกเค้าใช้อะไรค้นหากันนะ แล้ว Meta Tag อื่นๆ ล่ะเค้าจะสนใจมั้ย
อันนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เป็นเรื่องที่กูเกิลเพิ่งออกมาแก้ไขความเข้าใจผิดนัก ทำ SEO ทุกท่านสมควรอ่าน กูเกิลตอบคำถามเรื่องวิธีการจัดอันดับผลการ
ค้นหาของตัวเอง โดยบอกว่ากูเกิลไม่สนใจแท็ก <meta name="keywords" /> มาหลายปีแล้ว การใส่แท็กนี้มาไม่มีผลต่ออันดับผลการ
ค้นหาแต่อย่างใด เหตุผลที่กูเกิลเลิกสนใจแท็กนี้ก็เพราะข้อมูลถูกสแปมคีย์เวิร์ดได้ง่ายนั่นเอง

อย่างไรก็ตาม กูเกิลยังให้ความสำคัญกับแท็ก meta บางอันอยู่ เช่น

1. <meta name="description" content="A description of the page" />
2. <title>The Title of the Page</title>
3. <meta name="robots" content="..., ..." />  <meta name="googlebot" content="..., ..." />
4. <meta name="google" content="notranslate" />
5. <meta name="google-site-verification" content="..." />
6. <meta http-equiv="Content-Type" content="...; charset=..." />
7. <meta http-equiv="refresh" content="...;url=..." />

ลองอ่านเพิ่มเติมที่นี่ ครับ Google support Webmaster
ส่วนผลิตภัณฑ์ Google Search Appliance ยังสามารถตั้งค่าให้อ่านแท็ก keywords ได้ แต่ก็ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับ Google Web Search
ข้อมูลจาก Search Engine Land ในปี 2007 บอกว่ากูเกิลและ live.com ไม่สนใจแท็ก keywords แต่ Yahoo สนใจครับ ไม่รู้ว่าตอนนี้เปลี่ยน
หรือยัง

ลองฟังที่ software engineer ของ Google อธิบายดูนะครับ



ขอบคุณบทความดีๆจาก ; http://seo.clisk.co.th
อ้างอิง : http://www.blognone.com/node/13206

Title Tag SEO Tips


title tag การทำ seo

คุณกำลังหาวิธีที่จะทำให้เว็ปไซต์ของคุณติดอันดับใช่มั้ย ลองดูที่ title tags ของคุณซิ title tag คือ ข้อความที่แสดงอยู่บนหน้าท็อปของเบราว์เซอร์ ซึ่งแท็กนี้เป็นแท็กที่สำคัญมากสำหรับการทำ SEO
   ในเครื่องมือการค้นหาทั่วไป ความยาวสูงสุดของ title tag จะอยู่ที่ 60-70 ตัวอักษร ถ้าแท็กของคุณยาวกว่า 70 ตัวอักษร ไตเติลของคุณก็จะถูกโชว์ในเครื่องมือการค้นหาเพียงแค่ 70 ตัวอักษรเท่านั้น

ระบบของเครื่องมือการค้นหาจะใช้ title tag เหล่านี้ เป็นหลักในการค้นหาหัวข้อของหน้าเพจนั้น ระบบจะตรวจสอบที่ไตเติ้ลและแปลหัวข้อของหน้าเพจนั้น และนี่คือเหตุผลหนึ่งที่เราควรจะใช้คีย์เวิร์ดในหน้าไตเติ้ล และใส่มันให้ใกล้กับไตเติ้ลมากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ จำไว้ว่า ข้อความที่รวมกับ title tag จะเป็นข้อความที่ปรากฏใน SERPs (search engine results pages) เหมือนกับเป็นลิงค์ไตเติ้ล ที่

Search engine spiders use thes ใช้สามารถคลิ๊กเข้ามายังเพจของคุณได้ ในความเป็นจริงแล้ว แค่การแก้แท็กใน title tag ของคุณ ก็สามารถทำให้เว็ปของคุณติดอันดับได้ง่ายๆ แล้ว

ขอบคุณบทความดีๆจาก : http://seo.clisk.co.th/article/Title-Tag-SEO-Tips.html
อ้างอิง : http://www.seo.com/blog/seo-tips/title-tag-seo-tips/

11 ข้อที่พัฒนาเว็บเข้าใจผิดในการทำ SEO


1. Keyword ผมลองไป view source มาหลายเว็บ โอ้โหไม่รู้จะใส่อะไรกันนักหนา เพราะคนยังเข้าใจกันเยอะอยู่ว่ายิ่งใส่เยอะยิ่งดี ซึ่งจริงๆ
แล้วมันห้ามใส่เกิน 70 ตัวอักษร เพราะถ้าเกิน Search Engine ก็ตัดส่วนที่เกินทิ้งอยู่ดี และ บางเว็บใส่ไปแม้กระทั่งสิ่งที่ไม่เกี่ยวข้องกับเว็บไซด์
ด้วยซ้ำ ซึ่งนั่นนอกจะไม่ช่วยอะไรเรื่อง SEO แล้วยังเป็นการทำลายเว็บท่านเองอีก

2. Description ที่นี่มีไว้ให้ใส่คำอธิบายของเว็บของท่านนะครับ ไม่ใช่ช่องใส่ Keyword เพราะมันจะโชว์ใน Search Engine  ด้วย

3. Title Tag หลายเว็บละเลยการเปลี่ยน Title Tag ให้ตรงกับเนื้อหาแต่ละหน้าของเว็บแต่กลับทำทุกหน้าเหมือนกันหมดอยากบอกว่าถ้าต้อง
การให้ความสำคัญกับ Search Engine อันดับ 1 อย่าง Google ล่ะก็ Title Tag แท็กนี้สำคัญ มากกว่า Tag Keyword ซะอีกเพราะ Tag Keyword นั้นไม่มีผลใดๆ กับ Google ลองกลับไปอ่านบทความ Google ไม่ได้ใช้แท็ก meta keywords ในการจัดอันดับค้นหา และ บทความ
Title Tag SEO Tips ดูนะครับ แล้วคุณจะรู้ว่ าTitle Tag สำคัญขนาดไหน

4. ทำเว็บ Flash Site สำหรับเว็บ Flash ไซด์ หรือเว็บที่เป็น Flash ทั้งเว็บนั้นผมยอมรับนะครับว่ามันสวย แต่ว่าบรรดา Search Engine ทั้งหลายมันอ่านไม่ได้ครับ มันเลยกลายเป็นเกราะป้องกันให้ Search Engine หาเว็บคุณเจอ แต่ผมไม่ได้บอกว่าห้ามใช้ไปเลยนะครับ เพียง
แต่อยากให้มีคำว่า "พอดี" ลองกลับไปอ่านเรื่อง ใช้Flashในปริมาณที่เหมาะสม ในบทความ  สร้าง web ด้วยการเข้าใจ SEO  ดูนะครับ

5. เข้าใจ ALT ผิด alt ใน <img alt="อธิบายรูปภาพ"  นะครับคือ แท๊กนี้ให้ใส่คำอธิบายรูปภาพครับ ไม่ใช่ใส่ Keyword และต้องมีนะครับ อย่าง
ที่บอกแหละครับผมแอบไป view source มาเยอะแปลกใจอย่างนึงที่พบ alt ใน img น้อยมากและคนที่มีก็ใส่อะไรที่ไม่เกี่ยวกับรูปเลย บ้างก็ใส่ ชื่อเว็บบ้าง ใส่ Keyword บ้าง สำหรับคนที่ไม่ใส่เลยผมก็อยากให้ใส่นะครับ ใครที่ใส่อะไรที่สื่อความหมายไม่ตรงกับรูปก็ระวัง Search Engine แบนเอานะครับ

6. ใส่ใจ Meta tag มากเกินไป ผมเคยทำงานกับบริษัทเครื่องเสียงยี่ห้อนึงใบ้ว่าเป็นเครื่องเสียงที่ผลิตด้วยคนไทยทั้งหมด เขาจ้างวิศวกร และ อาจารย์ มหาวิยาลัย ชื่อดัง มาเพื่อคิดชื่อ Meta keyword Description มาให้หมดไปเป็นแสนๆ คือ..ผมอยากจะบอกว่ามาสนใจเนื้อหาข้างในจะ
ดีกว่านะครับ โดยเฉพาะ Meta keyword  ปัจจจุบัน Google ไม่ใช้แท็กนี้แล้วแต่ใช้ เนื้อหาภายใน เฉลี่ย คำออกมาเป็น Keyword แทน Meta keyword เนื่องจาก คนใส่สิ่งที่ไม่เกี่ยวข้องกับเว็บไซด์เยอะมาก Google จึงมองว่าเป็น สแปมคีย์เวิร์ด

7. ขาด Keyword ในเนื้อหา จงอย่าได้แปลกใจเลยหากเราใส่ keyword ไว้ใน Meta keyword แต่ในเนื้อหาไม่มีคำพวกนั้นอยู่แล้วมา search หาใน Google ไม่เจอ อย่างที่กล่าวไว้ข้างต้นแหละครับ Google ไม่ได้ใช้ Meta keyword แต่ใช้การเฉลี่ยคำออกมาจากเนื้อหาภายใน
อยากรู้มั้ย Google เฉลี่ย Keyword ไหนบ้างให้เว็บของคุณ ลองไป check กันดูนะครับ

8. ใส่ข้อมูลเว็บเสร็จก็จบกัน ก็เข้าใจอยู่นะครับสำหรับเว็บบางเว็บที่ไม่จำเป็นต้องมีเนื้อหาอะไรมาก เช่นเว็บบริษัท ห้างร้านต่างๆ ที่เปิดขึ้นมา
เพื่อให้เห็นว่ามีเว็บไซด์ และ บริษัท ทำอะไรแค่นั้น แต่จริงๆ แล้วการที่ทำอย่างนี้จะไม่เป็นผลดีต่อ SEO เพราะ บอทชอบการเครื่อนไหลของเว็บ
หากคุณไม่รู้จะเอาอะไรไปใส่ดี ก็อาจจะใส่ข่าวคราวของบริษัทก็ได้ครับ อย่างน้อยให้เว็บมีการเคลื่อนไหวบ้างก็ดีครับ

9. URL ไม่สื่อความหมาย คือข้อนี้ผมค่อนข้างเข้าใจครับเพราะเว็บไซด์ส่วนมากนั้นก็จะมีการจัดทำระบบกันไปซึ่งก็จะยิง ID ในแบบ Dynamic Page ซึ่ง Search Engine ไม่ชอบเอาซะเลยเราสามารถแก้ไข URL ให้มีความหมายได้ครับโดยใช้ไฟล์ .htaccess ลองอ่านบทความนี้ดูนะครับ
มาทำ Mod_Rewrite เพื่อ SEO กันเถอะ แล้วคุณจะเห็นอันดับใน Search Engine ที่เปลี่ยนไปในทางที่ดีคุณ

10. โพสกระจายโปรโมทในทางที่ผิด เป็นการเข้าใจผิดอย่างใหญ่หลวงสำหรับคุณที่ทำ SEO ว่าการโพส link ยิ่งเยอะ ยิ่งดี ซึ่งมันเป็นการเข้า
ใจที่ผิดมหันต์ เพราะหากเว็บไซด์ของคุณไปมีลิ้งค์อยู่ในเว็บที่เนื้อหาไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเว็บของคุณเลย Search Engine จะมองว่าเว็บของคุณ
ไม่มีคุณภาพหรือมองเป็น แสปมไป ยิ่งหากเว็บของคุณไปมี link อยู่ในเว็บที่ Search Engine  ban อยู่ล่ะก็หายนะอาจมาเยือนคุณได้ คุณจะกลาย
เป็นไบไผ่ ให้แพนด้า กินเลยล่ะครับ จริงอยู่ครับการมี Backlink เป็นสิ่งที่ดีครับ แต่ไม่ควรสแปม Back link มาที่เว็บของเรามากเกินไปครับเคยได้
ยินคำว่าบอมคลิกใช่มั้ยล่ะครับ ควรให้มี Backlink แบบ ธรรมชาติดีกว่าครับ

11. H1 จำเป็นนะครับ แท็ก h1-h6 เป็นแท็กที่โดนมองข้ามจากนักพัฒนาเว็บไซด์ชาวไทยเป็นอย่างมาก อยากบอกครับว่ามันสำคัญมากนะครับ
อย่าลืมซะล่ะ และ h1 ใส่ได้แค่ครั้งเดียวแค่นั้นครับ

ขอบคุณบทความดีๆ จาก http://seo.clisk.co.th

การใช้คีย์เวิร์ด ซ้ำๆ (Keyword Stuffing)

Keyword Stuffing
เจ้าตัว Keyword Stuffing คืออะไร หลายคนคงสงสัย งั้นเราไปดูตัวอย่างกันเลยดีกว่า

ตัวอย่างที่ 1
หนังสือเล่มนี้พูดถึง การทำ SEO แนะนำการทำ SEO ด้วยวิธีการทำ SEO ที่ถูกต้อง การทำ SEO นั้น จะต้องใช้การทำ SEO อย่างละเอียดใน การทำ SEO ต้องใช้เวลาการทำ SEO นาน ที่เดียว การทำ SEO จึ้งต้องให้เวลา การทำ SEO ....

ตัวอย่างที่ 2
ทรงผม ออกแบบทรงผม แบบทรงผม รูปทรงผม ทรงผมผู้ชาย ทรงผมผู้หญิง ออกแบบทรงผมบนอินเตอร์เน็ต ทรงผมยาม ทรงผมสั้น รูปทรงผม ทรงผมไทย ทรงผมเกาหลี ทรงผมญี่ปุ่น แบบทรงผมไทย แบบทรงผมเกาหลี แบบทรงผมญี่ปุ่น แบบทรงผมวัยรุ่น แบบทรงผมแฟชั่น แบบทรงผมดับ แบบทรงผมเจ้าสาว

ตัวอย่างที่ 3
ทรงผม ทรงผม ทรงผม ทรงผม ทรงผม ทรงผม ทรงผม ทรงผม ทรงผม ทรงผม ทรงผม ทรงผม ทรงผม ทรงผม ทรงผม ทรงผม ทรงผม ทรงผม ทรงผม ทรงผม ทรงผม ทรงผม ทรงผม ทรงผม ทรงผม ทรงผม ทรงผม ทรงผม ทรงผม ทรงผม ทรงผม ทรงผม ทรงผม ทรงผม ทรงผม ทรงผม ทรงผม ทรงผม ทรงผม 


สิ่งเหล่านี้คือ keyword stuffing แต่แตกต่างตามความรุนแรง


ตัวอย่าง 1 เรียกว่า เทคนิคสีเทา
ตัวอย่าง 2 เรียกว่า BluehatSEO
ตัวอย่าง 3 เรียกว่า BlackHat SEO แบบที่สามนี้จะหนักสุด

      ทั้งสามแบบนี้หลีกเลี่ยงการเอาลงไปในเนื้อหา แม้มันจะช่วยให้อันดับ SEO ดีขึ้นได้จริง แต่ว่ามันไม่ถาวร และอาจทำให้ บอท จับได้ และ บอทพวกนี้ก็ฉลาดพอ และมีวิธีจัดการกับเว็บแบบนี้ อาจจะไม่ถึงกับโดนแบน แต่ google อาจจะให้ไปอยู่ในหน้าหลังสุดของการค้นหานั่นเอง

Keyword Spamming
จากตัวอย่างที่ 2 ในหัวข้อที่ผ่านมา อาจจะเข้าข่าย Keyword Spamming ได้เช่นกัน เพราะเป็นการใช้ คีย์เวิร์ดจำนวนมาก ที่ไม่ซ้ำกัน อาจจะได้ เป็นพัน เป็นหมื่นคำ แต่ทั้งหมดไม่ได้เป็นเนื้อหา และไม่สามารถอ่านค่าได้ เช่น


ตัวอย่าง Keyword Spamming
เกมส์ เกม ฟังเพลง ดูดวง คลิปโฟร์มด เพลง แชท game ผลบอล เกมส์ทำอาหาร หาเพื่อน งานราชการ
ทำนายฝัน กลอน ฟังเพลงออนไลน์ ฟังเพลงย้อนหลัง  ดูทีวีย้อนหลัง รถมือสอง งาน โฟร์มด
รักสามเศร้า ดูทีวี เกมส์ปลูกผัก

          ซึ่งจะเห็นว่ามีคำที่ใช้เป็นคีย์เวิร์ดอยู่เป็นจำนวนมาก และไม่ซ้ำกันเลย แม้จะไม่เข้าข่าย keyword stuffing เลย แต่ keyword เหล่านี้คือ ขยะที่อ่านค่าไม่ได้ และหากมีคำเหล่านี้ทั้งหน้า โดยไม่มีเนื้อหาเลย นั่นคือ keyword stuffing นั่นเอง



วันศุกร์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ประโยชน์ SEO จาก Social Bookmark

Social Bookmark คืออะไร

        Social Bookmark  มันก็คือเว็บ ที่ใช้เก็บหน้าเว็บ ที่เราต้องการหรือชื่นชอบ หรือแบ่งปันให้กับบุคคลอื่น  ให้สามารถเข้าถึงหน้าเว็บที่เราเก็บหรือแชร์ได้  ซึ่งจะต่างจาก Add to Favorite ใน IE ที่สามารถเก็บแค่หน้าเว็บได้  ไม่สามารถแชร์ไปยังคนอื่นได้ 

ประโยชน์จาก Social Bookmark

         1.แบ่งปันข้อมูลข่าวสารของเราให้สามารถเข้าถึงบุคคลอื่นๆ ได้ทั่วทุกมุมโลก
         2.เป็นอีกช่องทางที่ช่วยในการโปรโมทเว็บไซต์ของเรา  ให้คนอื่นรู้จักและเข้าถึงเว็บไซต์ของเราได้
         3.Bot ของ Search Engine  อย่าง Google, Yahoo จะเข้ามาเก็บข้อมูลในเว็บเราได้

ตัวอย่างเว็บ Social Bookmark , Social Network  ที่มีประโยชน์ต่อ SEO


www.facebook.com
twitter.com
www.google.com/bookmarks
www.zickr.com
www.lefthit.com
www.postigg.com
www.bogtor.com

รู้จักกับ Googlebot คืออะไร


Googlebot หรือ Googlespider นั้นมีหน้าที่หลักๆ ก็คือการเข้าไป Crawling และทำสำเนาข้อมูลหน้าเพจ ของเว็บไซต์หรือบล็อกต่างๆ เพื่อใช้ในการทำดัชนี (Index) โดยจะไต่ไปตามลิงค์ต่างๆ ที่มีอยู่ในหน้าเพจหรือเว็บไซต์ การทำงานของ Googlebot นั้นจะทำการบันทึก
ข้อมูลต่างๆ ที่ได้รับจากหน้าเพจเข้าสู่ฐานข้อมูลของ Google Server เพื่อใช้ในการประมวลผลและจัดอันดับตามความเหมาะสม ที่ระบบของ
Google สร้างขึ้นมาโดยเฉพาะ นอกจากนี้การ รเข้ามาตรวจสอบข้อมูลใหม่ๆ อีกเรื่อยๆ เพื่อทำการบันทึกข้อมูลที่อาจมีการเปลี่ยนแปลงในหน้า
เพจเก่าที่เคยบันทึกไป แล้วด้วยเช่นกัน นั่นก็แสดงว่าถ้าเราอัพเดทข้อมูลเว็บเราบ่อยๆบอทมันจะเข้ามาเว็บเราบ่อยตาม ไปด้วย

Google Bot หรือ Google Spider นั้นมีด้วยกัน 2 ชนิดหลักๆดังนี้ครับ

Deepbot = ทำงานเพียงเดือนละครั้งเท่านั้น

Freshbot = ทำงานทุกวันตลอด 24 ชั่วโมง

เพื่อเราจะได้เข้าใจกลไกการทำของเขาได้มากยิ่งขึ้นเราลองมาดูคำอธิบายน้อยๆกันข้างล่างครับ

Deepbot


Deepbot เป็น Spider ตัวหนึ่งของ Google ที่มีนิสัยชอบไปไหนมาไหนไกลๆ เป็นนักค้นหาครับเจ้านี้และขยันมากๆ ครับจะค้นทุกอย่างที่ใคร
ต่อใครไม่เคยรู้เจ้า Spider ตัวนี้จะรู้หมดครับ และหาเจอทุกอย่างที่มีอยู่ในโลกออนไลน์ (อันนี้แหละที่แม้แต่ในระบบที่ล็อกอินก็ยังเข้าไปบันทึกได้) เพราะเดินทางไปเรื่อยๆ และก็จะค้นๆๆๆ แม้แต่เว็บที่ไม่เคยมีการโปรโมทเลยเขาก็หาพบ เจ๋งมากๆ ตัวนี้แต่ด้วยเหตุที่เจาะทะลุทะลวง และ เดินทางไกลๆ นี่เองทำให้ Deepbot สามารถทำงานได้ เพียงเดือนละครั้งเท่านั้นครับ โอ้พระเจ้าช่วยตัวนี้เขาแรงจริงๆ

Freshbot


Freshbot จะทำหน้าที่ในการไล่ตรวจข้อมูลเก่าๆ และข้อมูลใหม่ๆ ที่มีการนำเสนอบ่อยๆ เช่นบล็อกต่างๆ รวมไปถึงไปตรวจเว็บที่ Deepbot เคยไปเก็บบันทึกมาอย่างมากมายด้วย ทั้งนี้ Freshbot จะทำหน้าที่ในการตรวจสอบข้อมูลใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นในแต่ละวันและขยันมากๆ ครับในแต่ละวันนั้น Freshbot จะเข้าไปตรวจหน้าเพจต่างๆ ทั้งเก่าและใหม่หลายๆ ครั้ง ยิ่งเว็บไหนหรือบล็อกไหนอัพเดทบ่อยๆ ยิ่งไปบ่อยครับนั่นเลยทำให้ได้รับข้อมูลอะไรต่างๆ ที่ใหม่และสดอยู่เสมอนั่นเอง

Googlebot Robots META Tag


สำหรับการใส่ เมต้า แท็ก นั้นก็มีที่เกี่ยวกับ google ดังนี้ครับ

<meta name="googlebot" content="noindex">   ใช้สำหรับใส่ในหน้าที่เราไม่ต้องการให้ google มองเพราะเราคงไม่อยากให้ search
แล้วมาเจอหน้า admin ของเรา

<meta name="googlebot" CONTENT="nofollow">  "Googlebot" กำหนดเฉพาะ search engine Google เท่านั้น ถ้าต้องการทุกๆ search engine กำหนดเป็น "ROBOTS

<meta name="googlebot" CONTENT="index"> เพื่อให้ google ทำการ index มาที่เว็บเรา

<meta name="googlebot" CONTENT="follow"> เพื่อให้ Google ทำการ follow มาที่เว็บเรา

และยังมีอย่างอื่นอีกมากมายที่เรายังไม่ได้กล่าวถึงลองเข้าไปดูที่ Webmaster Tools Meta tags ของ Googleซิครับ

การเข้าใจผิดเกี่ยวกับ Googlebot Robots META Tag


คือการเขียน ลักษณะนี้ครับ <meta name="googlebot" content="index, follow">ซึ่งเป็นการเขียนที่ผิดมาตรฐานและไม่จำเป็น มันเป็น
การเพิ่มน้ำหนักไฟล์ของคุณซะมากกว่า อย่าไปเสียเวลาเขียนลักษณะนี้เลยครับ
ข้อมูลจาก http://seo.clisk.co.th

11 วิธีง่ายๆ ในการสร้าง Backlink


backlink ก็คือลิงค์ที่เชื่อมกลับไปยังเว็บไซต์ของคุณ ดังนั้นเอง จำนวน backlink ที่มากขึ้นจึงแสดงถึงความนิยมของเว็บไซต์ที่เพิ่มขึ้น จำนวนคนเข้าชมเว็บที่สูงขึ้น และ Google ก็รักคุณมากขึ้นด้วย ซึ่งเจ้า backlink นี้บางครั้งอาจถูกเรียกว่า “incoming link” หรือ “inbound link”
ถ้าคุณมองว่าบล็อกของคุณเป็นเสมือนตัวแมงมุม เจ้า backlink ทั้งหลายก็จะเป็นใยแมงมุมที่เชื่อมโยงสู่ใจกลาง ในขณะที่ผู้เยี่ยมชมเว็บเป็นแมลงวันที่บินเข้ามาติดใยรอเวลาโดนสวาปามเป็นอาหารเย็น
นี่คือ 11 วิธีง่ายๆ ในการสร้าง backlink ให้เว็บของคุณ
Comment – ใส่ลิงค์ไว้ในคอมเม้นท์ของคุณ แต่อย่าทำมากเกินไปจนกลายเป็นสแปมล่ะ
Webboard – ใส่ลิงค์ไว้ในลายเซ็นของคุณ
Twitter – แชร์ลิงค์ของคุณใน Twitter
Facebook – จัดให้ Facebook มีลิงค์เชื่อมกลับไปยังเว็บของคุณ
Bookmark – ใช้ประโยชน์จากเว็บ Social Bookmarking เช่น StumbleUpon.com, reddit.com, del.icio.us, หรือ Propeller.com แล้วแต่ว่าอันไหนเหมาะกับเว็บของคุณ
Directory – แนะนำ (submit) เว็บของคุณให้กับเว็บไดเร็กทอรี่ที่มีชื่อเสียง เช่น dmoz.org ไม่จำเป็นต้องใช้เว็บไดเร็กทอรี่ที่คิดค่าบริการนะครับ เพราะว่าปรกติแล้วจะได้ไม่คุ้มเสีย
Link – แลกลิงค์กับนักเขียนบล็อกคนอื่นๆ
บทความ – เวลาที่เขียนบทความ ให้ใส่ลิงค์ย้อนกลับมาที่เว็บของคุณเองด้วย
วิดีโอ – เวลาที่โพสต์วิดีโอ ให้ใส่ลิงค์ย้อนกลับมาที่เว็บของคุณเองด้วย
เนื้อหา – สร้างเนื้อหาที่ทำให้ผู้คนอยากเชื่อมโยงลิงค์มาหาเราเอง
ขอ – ขอให้คนอื่นเชื่อมลิงค์กลับมาหาเว็บของคุณ
นี่คือวิธีที่ง่ายดายเสียจนหลายคนไม่เคยนึกถึงมัน
ถ้าคุณสร้างลิงค์เชื่อมกลับไปยังเว็บไซต์ของคุณเฉลี่ยแล้ว 10 ครั้งต่อวัน ภายใน 5 ปีคุณจะมีลิงค์ทั้งหมด 18,250 ลิงค์ที่เชื่อมกลับมายังเว็บไซต์ของคุณ
และนี่ผมยังไม่ได้รวมจำนวนคนที่คลิกเข้ามายังเว็บของคุณโดยตรงด้วยตัวเองเลยนะ ดังนั้นลองจินตนาการเองละกันว่าจะมีผู้ชมวิ่งเข้ามายังบล็อกของคุณมากมายขนาดไหน นับกันไม่หวาดไม่ไหวเลยเชียวล่ะ
แน่ล่ะที่ลิงค์บางลิงค์จะเลือนหายไปตามกาลเวลา (เช่น ลิงค์ของเว็บพวก Social Bookmark ที่จะไปไวมาไวพอสมควร) บางลิงค์โดนคลิกเป็นพันๆ ครั้ง ในขณะที่บางลิงค์กลับไม่เคยโดนคลิกเลยสักครั้ง
แต่อย่างน้อยคุณหวังได้เลยว่า จำนวนคนเข้าชมในแต่ละเดือนจะเพิ่มสูงขึ้นแน่นอน แถมในการทำเช่นนี้ คุณเพียงเจียดเวลาสักวันละสองครั้ง ครั้งละ 10 นาทีเท่านั้นเอง เพียงแค่คุณ…
1. ตอบกระทู้ในเว็บบอร์ดสัก 3 กระทู้
2. ให้คอมเม้นท์ในบทความของบล็อกสัก 3 บล็อก
3. เขียนทวิตเตอร์ 3 ครั้ง
4. ใส่ลิงค์เข้าไปในบทความ 1 บทความ
5. กลับไปทำงานอย่างอื่นต่อ
แต่เชื่อไหมว่า คนส่วนใหญ่ไม่สามารถบังคับตัวเองให้ทำอย่างนี้ได้ทุกๆ วัน พวกเขาเป็นได้แค่นักวิ่ง 100 เมตร ไม่ใช่นักวิ่งมาราธอน และเมื่อคุณรู้เคล็ดลับนี้แล้ว การจะเอาชนะการแข่งขันก็ไม่ใช่เรื่องยากเลย
อ.ธนกร

เขียนไฟล์ robots.txt เรียก Googlebot และ Bot อื่น

robots.txt คืออะไร ?
robots.txt

ไฟล์เอกสารชนิดหนึ่งมีนามสกุล (.txt) ภายในระบุคำสั่งเพื่อควบคุมการทำงาน ในการเข้ามาเก็บข้อมูลหน้าเว็บเพจของบรรดา robots ของ Search Engine ทั่วโลก โดยเราสามารถกำหนดให้อนุญาต หรือไม่ให้อนุญาต เข้ามาเก็บข้อมูลในโฟล์เดอร์หรือไฟล์ ไหนบ้าง ซึ่งในการทำเว็บไซต์นั้นการเขียนไฟล์ robots.txt มีความสำคัญอย่างมากในเรื่องของความปลอดภัยและการทำ SEO(Search Engine Optimization) คือบางครั้งเราไม่ต้องการให้บรรดา search ต่างๆ เข้ามาเก็บค่าต่าง ๆ ในโฟล์เดอร์ที่เราต้องการให้เป็นความลับ หรือการค้นหาข้อมูลของเว็บไซต์เราบางหน้า ก็สามารถจำกัดการเข้ามาเก็บค่าดัชนีเว็บไซต์เราได้

ตัวอย่าง robots.txt

  1. ถ้าไม่ต้องการให้ robots ทุกชนิดเข้ามาข้อมูลภายในเว็บไซต์ของเราทั้งหมด โดยไม่ปรากฎการค้นหาใน Search ดังนี้
    # robots.txt for http://www.example.com/
    User-agent: *
    Disallow: /
  2. ถ้าอนุญาติให้ robots บางชนิดเข้ามาเก็บข้อมูลในเว็บไซต์เราโดยใช้คำสั่งดังตัวอย่างต่อไปนี้
    User-agent: Googlebot
    User-agent: msnbot
    Disallow: /
  3. ถ้าไม่ต้องการให้ robots เข้ามาเก็บข้อมูลบางไฟล์ หรือ บางโฟล์เดอร์ ซึ่งบางครั้งใช้สำหรับป้องกัน File Admin
    User-agent:*
    Disallow: /admin
    Disallow: /cgi-bin
    Disallow: /profile
    Allow: /images
    Allow: /index.html
  4. ถ้าต้องการให้ robots ทุกชนิดเข้ามาเก็บข้อมูลในทุกไฟล์หรือทุกโฟล์เดอร์
    User-agent:*
    Allow: /